English Version

ความหลากหลายของภาษาอังกฤษ (English Variety)

             ในปัจจุบัน ภาษาอังกฤษได้เปลี่ยนสถานภาพเป็น “ภาษาสากล” (Global Language) หรือ “ผู้นำภาษาโลก” (World Leading’s Language) เนื่องจากการใช้ภาษาอังกฤษนั้นได้แพร่หลายไปทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มของเจ้าของภาษาเท่านั้น ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากบทบาทสำคัญของภาษาอังกฤษในการเชื่อมสังคม วัฒนธรรม การศึกษา และเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่าง ๆบนโลกใบนี้ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักเข้าไว้ด้วยกันในฐานะภาษากลาง (Crystal, 2003) ด้วยเหตุนี้ ภาษาอังกฤษจึงมีความหลากหลายในแง่ของรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับบริบทของสังคม ประวัติศาสตร์ และภูมิประเทศของประเทศนั้น ๆ

             ด้วยความหลากหลายของภาษาอังกฤษ (English Variety) นักภาษาศาสตร์ชาวอินเดีย Braj Kachru จึงได้นำเสนอทฤษฎี “World Englishes” หรือ “Three Concentric Circles Theory” ขึ้นในปี ค.ศ.1985 เพื่อชี้ให้เห็นว่ามีการแบ่งแยกภาษาอังกฤษออกเป็น 3 วงกลมมีจุดศูนย์กลางเดียวกัน โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มนั้น ขึ้นอยู่กับบริบททางประวัติศาสตร์ สถานะ และบทบาทของภาษาอังกฤษในภูมิภาคที่หลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยเริ่มจากกลุ่มประเทศในวงกลมขนาดเล็กสุดซึ่งอยู่ชั้นในสุด ไปยังวงกลมขนาดใหญ่สุดที่อยู่วงนอกสุด ได้แก่ กลุ่มประเทศวงใน (Inner Circle) วงนอก (Outer Circle) และวงขยาย (Expanding Circle) ซึ่งสามารถดูได้จากภาพประกอบ

            



1) กลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก จัดอยู่ในวงกลมวงเล็กและอยู่ด้านในสุด (Inner Circle) เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา คือกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (Native English Speaking Countries: ENL)
2) กลุ่มประเทศที่ในอดีตตามประวัติศาสตร์เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่มาก่อน หากแต่ภาษาอังกฤษมีความสำคัญในด้านการศึกษา ใช้เป็นภาษาราชการ และถูกซึมซับส่งผ่านความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม และภาษา กลุ่มประเทศเหล่านี้จัดอยู่ในวงกลมรอบนอก (Outer Circle) เช่น อินเดีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไนจีเรีย ซึ่งล้วนแต่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (English as Second Language: ESL)
3) กลุ่มประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตก และใช้ภาษาอังกฤษในบริบทของการดำเนินงานทางธุรกิจ การศึกษา และเทคโนโลยี ซึ่งจัดอยู่ในวงกลมส่วนขยาย (Expanding Circle) เช่น ญี่ปุ่น จีน ไทย และตุรกี ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ (English as Foreign Language: EFL) โดยยึดมาตรฐานของเจ้าของภาษาเป็นหลัก (Standard English)

             อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น นักวิชาการด้านภาษาศาสตร์หลายคนได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของแนวคิดของ Kachru โดยให้เหตุผลว่าแนวคิดดังกล่าวนั้น ยึดติดกับหลักภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์มากเกินไป ซึ่งในเวลาต่อมา Larry E. Smith (1976) ได้เริ่มเรียกภาษาอังกฤษว่า “ภาษานานาชาติ” หรือ English as International Language (EIL) คือ ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาสากล สาเหตุที่ใช้คำว่า “ภาษานานาชาติ” ก็เพื่อบอกถึงสถานภาพของภาษาอังกฤษในฐานะที่เป็นภาษาสากล สำหรับใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้คนทั่วทุกมุมโลก และด้วยสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กอปรกับนักวิชาการหลายท่านได้นำเสนอแนวคิดใหม่ ที่คล้ายคลึงกับ EIL เช่น นักวิชาการในยุโรปเรียกว่า “ภาษาอังกฤษในฐานะภาษากลางสำหรับการสื่อสาร” หรือ English as a Lingua Franca (ELF) ซึ่งหมายถึงการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อในการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีภาษาแม่แตกต่างกัน (Dewey, 2007; Jenkins, 2000; Seidlhofer,2001) หรือบางคนเรียกว่า “ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาของโลก” (English as a global or world language) (Crystal, 2003)

             สำหรับภาษาอังกฤษในประเทศไทยนั้น ถือเป็นที่รู้จักและยอมรับในรูปแบบของภาษาต่างประเทศ ทีมี่บทบาทสำคัญและจำเป็นทั้งในด้านการศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้นการศึกษาในหลักสูตรสองภาษา หรือโรงเรียนสองภาษาที่นำภาษาอังกฤษมาใช้เป็นภาษากลางในสื่อการสอน จึงได้รับความนิยม ส่งเสริม และสนับสนุนทั้งจากภาครัฐบาลและเอกชน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สำคัญและเป็นประโยชน์สำหรับบุคคลที่สนใจจะพัฒนาทักษะทางด้านภาษาเพื่อเป็นกุญแจสำคัญในการไขประตูสู่โลกกว้าง